องุ่นเป็นผลไม้ยอดนิยมทั่วโลก ไม่เพียงแต่รสชาติอร่อยเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย! ถ้าคุณกำลังคิดจะเริ่มปลูกองุ่นหน้าบ้าน ไม่ว่าจะ ปลูกในกระถางในเข่ง หรือกลางแจ้ง แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ผมจะพาคุณไปรู้จักเทคนิคง่าย ๆ สำหรับมือใหม่ ตั้งแต่การเลือกพันธุ์ การเตรียมดิน การดูแลให้ต้น องุ่นออกผลไปจนถึงเคล็ดลับการป้องกันโรคและแมลง ครบทุกขั้นตอน
องุ่นสามารถปลูกได้หลายแบบ แต่ที่นิยมคือ ปลูกองุ่นในกระถาง วิธีที่เหมาะสำหรับคนที่อยากปลูกองุ่นแต่มีพื้นที่น้อย อย่างระเบียงหรือสวนขนาดเล็ก
สิ่งแรกที่ต้องตัดสินใจก่อนเริ่มปลูกองุ่นคือการเลือกวิธีการปลูก โดยหลัก ๆ มี 2 วิธี
องุ่นเป็นพืชที่ต้องการดินที่มีการระบายน้ำที่ดี การเตรียมดินเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการปลูก เพื่อให้รากองุ่นได้รับสารอาหาร ที่เพียงพอ ควรเลือกดินที่มีลักษณะดังนี้:
1. นำเมล็ดองุ่นไปแช่น้ำ ถ้าจมน้ำแสดงว่าสามารถนำไปปลูกได้ จากนั้นนำเมล็ดองุ่นที่ได้ไปทำความสะอาด แล้วแช่น้ำกลั่นทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง 2. นำทิชชูชุบน้ำ มอสส์ หรือทราย ใส่รองก้นถุงสุญญากาศ แล้ววางเมล็ดองุ่นลงไป คลุมเมล็ดด้วยทิชชูชุบน้ำ ทราย หรือมอสส์ ทับด้านบนอีกชั้น จากนั้นนำไปแช่ในตู้เย็นประมาณ 2-3 เดือน 3. นำเมล็ดที่แช่น้ำตามเวลาที่กำหนดแล้วมาปลูกในกระถาง โดยให้เมล็ดห่างกันประมาณ 3.8 เซนติเมตร 4. วางกระถางไว้ในที่ร่มในบ้าน รอจนต้นอ่อนงอกขึ้นมา (ประมาณ 2-8 สัปดาห์) และคอยดูแลไม่ให้ดินแห้งหรือเปียกจนเกินไป ใช้ขวดสเปรย์พ่นน้ำเบา ๆ แทนการเทน้ำโดยตรง
เมื่อต้นอ่อนสูงประมาณ 8 เซนติเมตร ให้ย้ายลงกระถางใหญ่ และยังคงวางในที่ร่มจนลำต้นสูงประมาณ 30 เซนติเมตร หรือมีใบครบ 5-6 ใบ จึงค่อยย้ายออกกลางแจ้ง
หลังจากเตรียมดินและเมล็ดเรียบร้อยแล้ว มาดูขั้นตอนการปลูกองุ่นอย่างถูกต้อง:
เคล็ดลับ : ควรอยู่องุ่นในบริเวณที่มีแสงแดด 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ช่วยให้ต้นองุ่นเจริญเติบโตได้ดีขึ้น อีกเรื่องที่สำคัญคือองุ่นเป็นพืชเถา ต้องมีค้างให้กิ่งเลื้อยเกาะ ให้ใช้ไม้หรือลวดขึงตาราง และเลือกใช้ตาข่ายที่มีช่องกว้างพอ ที่พวงองุ่นจะรอดออกมาได้ และต้องจัดกิ่งให้เป็น ระเบียบโดยการใช้เทปรัดกิ่งพันยึดไว้เพื่อบังคับกิ่งให้ไปในทิศทางที่เราต้องการ
แม้องุ่นจะไม่ต้องการน้ำมาก แต่ก็ต้องการการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งหรือช่วงที่เริ่มปลูกใหม่ ๆ เพื่อให้รากตั้งตัวได้ดี
องุ่นต้องการการตัดแต่งกิ่งเป็นประจำเพื่อควบคุมรูปทรงของต้นและช่วยให้ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ:
องุ่นเป็นพืชที่เสี่ยงต่อโรคและแมลงต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคราน้ำค้างและแมลงที่เข้าทำลายใบ ปัญหาแมลงส่วนมากก็จะเป็นพวกเพลี้ยซึ่งมัก จะระบาดในช่วงหน้าร้อน แต่ถ้าเห็นว่ามีมดก็ให้ระวังว่าจะมีเพลี้ยตามมา
ข้อดีของการปลูกองุ่นแบบนี้มีหลายอย่าง เช่น ประหยัดพื้นที่ เพราะสามารถวางได้ทุกที่ เคลื่อนย้ายง่าย ควบคุมคุณภาพของดินได้ดี ทำให้ต้นองุ่นเติบโตได้ดี อีกทั้งยังช่วยลดโอกาสการติดโรคและป้องกันแมลงได้ง่าย รวมถึงการดูแลรดน้ำและใส่ปุ๋ยก็ทำได้ง่ายเช่นกัน เลยเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นปลูก
โดยทั่วไปแล้ว องุ่นใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีนับจากเริ่มปลูก จึงจะเริ่มให้ผลผลิตได้ โดยองุ่นจะมีการออกดอกและติดผลครั้งแรกในปีที่ 2 หรือ 3 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ขององุ่นและวิธีการดูแลรักษาด้วยครับ
1. ตรวจสอบความสุกของผล: สีของผลองุ่นจะเข้มเต็มที่และสม่ำเสมอ ไม่มีสีเขียวปน หากลองชิมแล้วรสชาติหวาน มีน้ำตาลพอเหมาะ และกลิ่นหอม แสดงว่าผลพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวแล้ว 2. เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บ: ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าหรือเย็น ซึ่งอากาศไม่ร้อน เพื่อให้ผลองุ่นคงความสด ลดการคายน้ำ และรักษาคุณภาพของผล 3. ใช้เครื่องมือสะอาดในการเก็บ: ใช้กรรไกรหรือมีดที่สะอาดและคม ตัดผลองุ่นออกจากก้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการช้ำและป้องกันการติดเชื้อจากบาดแผลที่เกิดจากการเก็บ 4. จัดเก็บผลองุ่นอย่างระมัดระวัง: หลังตัดเสร็จ ให้วางผลองุ่นในภาชนะที่โปร่ง เช่น ตะกร้า เพื่อให้มีอากาศไหลผ่าน และลดการช้ำของผลจากการวางซ้อนกัน 5. แช่เย็นเพื่อรักษาคุณภาพ: หากยังไม่บริโภคทันที ควรเก็บผลองุ่นในตู้เย็นที่อุณหภูมิประมาณ 0-4 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาความสดและรสชาติได้นานยิ่งขึ้น
การปลูกองุ่นในกระถางสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการปลูกแบบกลางแจ้งให้ได้รับแสงแดดเต็มที่ หรือที่เรียกกันว่าแดดร้อยฝนร้อย หรืออีกวิธีที่นิยมอย่างแผร่หลายคือการปลูกองุ่นในโรงเรือน เนื่องจากสามารถควบคุณภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการเจริญเติบโตได้ดีและยัง ควบคุมคถณภาพผลผลิตได้อีกด้วย เรามาดูข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีกันดีกว่าครับ
1. ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า ไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างโรงเรือน ทำให้มีต้นทุนเริ่มต้นที่ถูกกว่า 2. การเติบโตแบบธรรมชาติ องุ่นจะได้รับแสงแดดเต็มที่และสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงธรรมชาติ ช่วยกระตุ้นการเติบโตที่ดีของต้นองุ่น
1.การปลูกกลางแจ้งเสี่ยงต่อสภาพอากาศที่แปรปรวน เช่น ฝนตกหนักหรือแดดจัด ซึ่งอาจทำให้ผลผลิตเสียหายได้ 2. มีโอกาสที่ต้นองุ่นจะเจอกับแมลงศัตรูพืชและเชื้อโรคสูง เนื่องจากไม่มีการป้องกันจากสิ่งแวดล้อมภายนอก 3. คุณภาพและปริมาณของผลผลิตอาจไม่สม่ำเสมอ เพราะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมเป็นหลัก
1. ควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดี โรงเรือนจะช่วยควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และแสง ทำให้ต้นองุ่นมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต 2. โรงเรือนช่วยลดโอกาสที่ต้นองุ่นจะติดเชื้อโรคและแมลง ทำให้ลดการใช้สารเคมีลงได้ 3. เพิ่มคุณภาพผลผลิต การควบคุมสภาพแวดล้อมช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพสูงขึ้น ทั้งขนาด สี และรสชาติ 4. ช่วยประหยัดน้ำได้ สามารถใช้ระบบให้น้ำที่มีประสิทธิภาพ เช่น ระบบน้ำหยด ช่วยให้ใช้น้ำน้อยลงและลดต้นทุนการดูแลได้ 5. ปลูกได้ทั้งปี เนื่องจากควบคุมสภาพแวดล้อมได้ การปลูกในโรงเรือนสามารถปลูกองุ่นได้ทุกฤดูกาล ไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
1. ต้นทุนสูง การสร้างและดูแลโรงเรือนมีค่าใช้จ่ายสูง จึงต้องการการลงทุนเบื้องต้นและค่าใช้จ่ายการดูแลต่อเนื่องมากกว่าการปลูกกลางแจ้ง 2. การจัดการที่ซับซ้อน ต้องการความรู้และทักษะในการจัดการโรงเรือน เช่น การควบคุมความชื้นและการให้น้ำที่เหมาะสม 3. พื้นที่จำกัด โรงเรือนอาจมีพื้นที่จำกัด ทำให้ปลูกองุ่นได้จำนวนจำกัด จึงไม่เหมาะสำหรับการปลูกในปริมาณมาก
การเลือกวิธีปลูกองุ่นขึ้นอยู่กับงบประมาณและความต้องการด้านคุณภาพและปริมาณผลผลิต การปลูกในโรงเรือนเหมาะสำหรับผู้ที่เน้น คุณภาพและการควบคุมผลผลิต ในขณะที่การปลูกกลางแจ้งเหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัดและต้องการวิธีที่ดูแลง่ายกว่าครับ
พลาสติกโรงเรือนที่เหมาะสมกับการการปลูกองุ่นคือ พลาสติกโรงเรือนแบบใส หรือ สูตรมาตรฐาน VSC ความหนา 150 ไมครอน เพื่อให้แสงส่องผ่านได้ดีและรักษาอุณหภูมิภายในโรงเรือนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงช่วยป้องกันฝนทำให้ไม่เป็นโรคได้ง่าย จึงช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการเจริญเติบโตขององุ่น แต่ถ้าภายในโรงเรือนมีความร้อนสะสมที่สูงจนเป็นผลเสียต่อองุ่น สามารถเลือกใช้ พลาสติกโรงเรือนลดความร้อน กระจายแสง VSC เนื่องจากพลาสติกชนิดนี้สามารถช่วยลดความร้อนในโรงเรือนได้ 2-5 องศาแล้ว ยังช่วยกระจายแสงให้องุ่นเติบโตได้ดีทั่วเท่ากันทั้งโรงเรือนอีกด้วยครับ
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่..
การปลูกองุ่นสำหรับมือใหม่ไม่ใช่เรื่องยากหากเข้าใจขั้นตอนและการดูแลที่เหมาะสม ตั้งแต่การเลือกวิธีการปลูก การเตรียมดิน การให้น้ำ การใส่ปุ๋ย ไปจนถึงการดูแลรักษาและป้องกันโรค เมื่อคุณสามารถจัดการกับขั้นตอนเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง การปลูกองุ่น จะกลายเป็นกิจกรรมที่ทั้งสนุกและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ